สิระ เจนจาคะ ประกาศโมฆะคำท้าหลัง ไฮโซลูกนัทสล็อตแตกง่าย วางเช็คสิบล้านบาท ชี้ไม่ใช่เพื่อนเล่น พร้อมเตือนไฮโซลูกนัทเรื่องหมิ่นสถาบัน จากกรณีที่นาย สิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาท้า นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท ให้นำเงิน 10 ล้านบาท มาวางเดิมพันว่า ตาบอดจริงหรือไม่ และจะมีการนัดตรวจร่างกายภายหลังเสร็จการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
โดย นายสิระ เปิดเผยก่อนวางเงินว่า สาเหตุที่ตนไม่จ่ายเงินให้กับ นายธนัตถ์
หลังเห็นใบรับรองแพทย์ ตนขอชี้แจงใน 2 เรื่อง เรื่องแรกคือใบรับรองแพทย์ที่นำมาเป็นหลักฐานในการเบิกเงินถ้าใครดูก็รู้ ใบรับรองแพทย์แบบนี้ใช้เป็นใบลาโรงเรียน หรือที่ทำงานยังไม่ได้เลย อีกทั้งโรงพยาบาลก็ยังไม่ออกมาแถลงว่าใบรับรองแพทย์ที่นำมายื่นเพื่อเบิกเงินเป็นจริงหรือปลอม
ส่วนเรื่องที่สอง ตนตัดสินใจจากประสบการณ์จริงของตน เมื่อสมัยยังเด็ก ตนเลยตาบอดเกือบ 3 เดือน เพราะเคยไปสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ทำตามสัญญาขอให้ตาบอด ซึ่งต่อมา 2 อาทิตย์ ตนได้ลื่นล้มหางคิ้วกระแทกขอบโต๊ะหน้าศาลพระภูมิ ส่งผลให้ตาซ้ายบอด 2 – 3 เดือน ทำให้สมัยเด็กๆคนแถวบ้านเรียก “ไอบอดตาคลี” จนภายหลังเข้าเดือนที่ 3 ดวงตาเริ่มมองเห็นจนเป็นปกติ และมองเห็นได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยตาบอดด้วยซ้ำ เพราะตนสามารถมองเห็นธรรม มองเห็นความดี มองเห็นความเจริญของประเทศไทย แต่นายธนัตถ์ ตายังไม่ได้บอด และตาอีกข้างก็ยังเห็นอยู่ทำไมมองไม่เห็น มีการดูหมิ่น และแต่งตัวล้อเลียน “วันนี้ถ้านายธนัตถ์ ไม่มา หรือมาไม่ตรงตามข้อตกลง ถือว่า หมา ส่วนที่นายธนัตถ์ จะขอนำเป็นเช็คมาวาง ผมขอถามโรงสีข้าวที่ไหนรับเช็คซื้อข้าวของนายธนัตถ์ ให้ติดต่อตนมาได้ทันที ทั้งการวางเงินครั้งนี้ไม่ใช้การพนัน แต่เป็นการชวนกันไปทำบุญเท่านั้น”
อย่างไรก็ตามเมื่อมาไฮโซลูกนัท มาก็ได้นำเช็คมูลค่าสิบล้านบาทที่ออกมาโดยธนาคารเกียรตินาคินมาวางเอาไว้ ซึ่งนายสิระกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “คุณธนัตถ์บอกว่าพร้อมจ่ายเงินสดสิบล้านบทในวันที่ท้าผม ผมไม่ใช่เพื่อนเล่น ผมไปละ ผมโมฆะ ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น” ก่อนจะวางไมค์ลงพาน
ซึ่งในขณะที่นายสิระกำลังจะเดินออกไปผู้สื่อข่าวก็ได้พยายามถาม ส.ส.พรรคประชารัฐ ซึ่งนายสิระก็ได้ตะโกนว่า “มันใช้ซื้อข้าวได้หรอ? ซึ่งไฮโซลูกนัทก็ได้ตอบในประเด็นดังกล่าวว่า “ถ้าพี่นำเช็คไปที่ธนาคารก็ได้ออกมาเป็นเงินสดได้”
โดยนายสิระได้เดินกลับมาพร้อมกับหยิบเช็คและพูดว่า “เช็คมีมูลค่าแค่สิบบาท แลกกับเงินล้านนึง มันใช่หรอ? ไม่ใช่เพื่อนเล่น” ซึ่งนายสิระก็ได้เตือนไฮโซลูกนัทเรื่องสถาบัน ก่อนประกาศว่า “ผมไม่มีเวลาเล่นกับเด็กคนนี้” และเดินจากไป
นายกฯ ยืนยันพร้อมยกระดับงานวิจัยวัคซีนโควิดไทย
นายกฯ สนับสนุน ยกระดับการวิจัย วัคซีนโควิด ของไทย เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข วางเป้าหมายให้ไทยสามารถพึ่งพาตนเอง นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสนอให้มีการปรับมุมมองและยุทธศาสตร์การบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยให้ประชาชนสามารถอยู่กับโรคได้อย่างปลอดภัย เพราะเชื่อว่า โควิด-19 จะไม่หมดไปและจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
นายกรัฐมนตรียังฝากกระทรวงพาณิชย์ติดตามความต้องการใช้ออกซิเจนทางการแพทย์ให้เพียงพอ พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันการลักลอบส่งออกถังออกซิเจนผิดกฎหมายด้วย และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีนโควิดสำหรับเด็กอายุ 12-18 ปี ซึ่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รายงานว่า ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนให้กับครูแล้วกว่า 573,656 คน และยังคงมีนักเรียนในระบบอีกประมาณ 4 ล้านคน จากการประเมินของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้ ไทยจะได้รับวัคซีนรวมทุกประเภท 140 ล้านโดส ก็ขอให้เดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยให้เร็วที่สุดสอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ไทยมีอยู่ รวมทั้งให้เร่งรัดการเข้าถึงการตรวจโควิด-19 ด้วย ATK ด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมยกระดับงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนไทย เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข ครอบคลุมถึงการกระบวนการผลิต เพื่อให้ไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนในอนาคตได้ และจากที่ได้ติดตามการพัฒนา วัคซีน ChulaCov19 (จุฬา-คอฟ-19) ชนิด mRNA โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งเป้าหมายขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้ ในรูปแบบภาวะฉุกเฉินในช่วงเดือนเมษายน 2565 และวัคซีนใบยาที่ใช้เทคโนโลยีจากใบยาสูบ รัฐบาลพร้อมจัดสรรงบประมาณและเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โฆษกรัฐบาล ยังกล่าวอีกว่า ก่อนปิดประชุม นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวให้กำลังใจทุกคนว่า ขอให้มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ เพื่อร่วมมือกันทำงานเพื่อคนไทย และคงต้องร่วมกันทำในรัฐบาลชุดนี้
อยากขอเตือนพลเอกประยุทธ์ ว่าน่าจะหมดสมัยแล้วที่จะพยายามดิสเครดิตประเทศอื่น พรรคอื่น หรือคนอื่นที่ทำได้ดี เพื่ออาจจะพยายามกลบความผิดพลาดของตัวเอง เพียงเพื่อจะทำให้ตัวเองดูดีขึ้นจากภาวะที่พลเอกประยุทธ์ บริหารประเทศล้มเหลวในทุกด้านในขณะนี้ คนไทยรู้ทันกันหมดแล้ว พลเอกประยุทธ์ ควรจะเร่งแก้ไขปรับปรุงการบริหารให้ทันประเทศอื่นและทันโลกมากกว่าจะแก้ตัวโดยการใส่ร้ายคนอื่นแบบที่เคยทำมาตลอด 7 ปี หากยังไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและปรับปรุงวิธีปฎิบัติ พลเอกประยุทธ์ ก็จะไม่สามารถนำพาประเทศไทยให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองได้เลย ประเทศไทยจะถูกประเทศเพื่อนบ้านอื่นแซงไปหมดสาเหตุเพราะผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์นี่เองสล็อตแตกง่าย